วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิตามินดี วิตามินจากแสงอาทิตย์ ป้องกันมะเร็ง รักษาโรคหอบหืด ลดหน้าท้อง

วิตามินดี


Vitamin Dเป็นวิตามินที่ร่างกายต้องการเพื่อการรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียมในเลือดและในกระดูก เมื่อร่างกายได้รับแสงแดด ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด ในกรณีที่ไม่ถูกแดด จำเป็นจะต้องได้รับวิตามินดีจากอาหารให้มากขึ้น เมื่อได้รับแสงแดดพอ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมด้วยการรับประทานวิตามินดีในรูปวิตามินรวม หรือรับประทานอาหารที่มีการเสริมด้วยวิตามินดี (แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว แทบจะไม่มีใครได้รับวิตามินดีเพียงพอ เพราะผู้ที่ตากแดดเป็นประจำจนผิวคล้ำ จะมีสีผิวที่เข้มขึ้นไปยับยั้งการสร้างวิตามินดี การที่จะรู้ว่าร่างกายได้รับวิตามินดีเพียงพอหรือไม่ ต้องดูผลตรวจเลือดจากห้องปฎิบัติการทางการแพทย์เท่านั้น)

ประโยชน์ของ"วิตามิน ดี"



  1. ป้องกันมะเร็ง แสงแดดอ่อนๆ ในช่วงก่อน 11 โมง และ หลังบ่าย 3 โมง จะช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนัง ที่จะช่วยปกป้องผิวจากมะเร็งผิวหนัง แถมวิตามินดียังช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งอีกมากมาย อย่างมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งสำไส้ มะเร็งปากมดลูก
  2. หัวใจแข็งแรง ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการขาดวิตามินดี เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหัวใจ โรความดันสูง และระบบการเผาผลาญของร่างกายบกพร่อง ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขั้นรุนแรงได้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
  3. สมองดีเลิศ มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ บอกว่า คนที่มีระดับวิตามินดีสูง มีแนวโน้มจะใส่ใจ ช่างสังเกต จดจำ และสมองจะประมวลผลได้รวดเร็วกว่า และจะยิ่งเห็นผลตอนอายุมากขึ้น เช่น ไม่ขี้ลืม คิด และพูดได้ว่องไว แถมแสงแดดยังช่วยให้อารมณ์แจ่มใส และลดความตึงเครียดได้ด้วย
  4. ลดน้ำหนักได้ด้วย นักวิจัยชาวอเมริกันพบสิ่งที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งว่า ในกลุ่มคนที่กำลังไดเอท กับช่วง 11 สัปดาห์ของการลดน้ำหนักนั้น คนที่ยิ่งผอมมากเท่าไหร่ ยิ่งพบว่ามีระดับวิตามินดีสูงมากเท่านั้น เขาจึงศึกษาต่อจนพบว่า วิตามินดีตัวนี้ล่ะที่มีส่วนช่วยลดไขมันหน้าท้องได้
  5. รักษาหอบหืด และภูมิแพ้ งานนี้ที่โรงเรียนการแพทย์ฮาวาร์ด เขาพบว่า เด็กๆ ที่ได้รับวิตามินดีจากแสงแดดสูง จะไม่ค่อยเป็นภูมิแพ้ เมื่อโตขึ้นมา และคนที่ไม่ค่อยได้รับวิตามินดี ตั้งแต่เด็กๆ จะมี ปฏิกิริยาไวต่อสภาพอากศที่เปลี่ยนแปลง และมีแนวโน้มจะเป็นภูมิแพ้ได้มาก โดยเฉพาะการแพ้ไรฝุ่นในบ้าน

อาหารชนิดไหนมีวิตามินดี



  1. นํ้ามันตับปลา
  2. ตับวัว
  3. เห็ดหอม
  4. ปลาทูน่า
  5. ปลาแซลมอน
  6. ไข่ไก่
  7. ปลาซาดีน (ปลากระป๋อง)

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นมพร่องมันเนย

นมพร่องมันเนยต่างกับนมสดธรรมดาอย่างไร


              ผมคิดหว่าหลายคนส่วนใหญ่คงคิดว่า"นมพร่องมันเนย"นั้น แค่มีไขมันน้อยลงแต่อย่างอื่นเหมือน"นมสด"ธรรมดา แต่ในความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่เราคิด เพราะว่านมพร่องมันเนยเป็นนมที่แยกไขมันออกไปบางส่วน ให้เหลือไขมันในปริมาณน้อย นมพร่องมันเนยจึงให้พลังงานต่ำ ขณะเดียวกันกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมันซึ่งได้แก่ วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดี และวิตามินเค ก็จะขาดหายไปด้วย จึงไม่เหมาะสำหรับใช้เลี้ยงเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ เพราะเด็กเล็กจำเป็นต้องได้รับวิตามินที่ละลายในไขมันได้ด้วย

ข้อควรระวังในการเลือกรับประทานนมพร่องมันเนย


  1. นมพร่องมันเนยหรือนมขาดมันเนยนั้น จะเหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนัก และคนที่มีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป เพราะบุคคลในวัยนี้ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมากนัก
  2. ไม่ควรดื่มนมแทนนํ้าโดยเฉพาะนมธรรมดา หรือ UHT เพราะอาจทำให้โคเลสเตอรอลสูง
  3. นมพร่องมันเนยมีส่วนประกอบของไขมันไม่เกิน15เปอร์เซ็น แต่ก็ยังมีสารอาหารที่ครบถ้วน ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมนํ้าหนัก
  4. ควรจะดื่มเป็นอาหารเสริมจะดีกว่า ไม่ควรดื่มเป็นอาหารหลักในช่วงเช้า เพราะจะทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต
  5. ไม่ควรให้เด็กที่มีอายุตํ่ากว่า2ปี รับประทาน

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ใบย่านาง สมุนไพรดีลดความอ้วน,แก้โรคเบาหวาน,ความดัน,หัวใจ มะเร็ง, ภูมิแพ้,ร้อนใน,ไซนัสจมูกตัน ฯลฯ

ทำความรู้จักกับใบย่านาง


         หากใครเป็นคออาหารอีสานรสแซบแล้วละก็ เป็นต้องคุ้นกับกลิ่นใบย่านางที่เคล้ามากับซุบหน่อไม้และแกงหน่อไม้ที่หอมยั่วน้ำลาย
         ใครบางคนว่ากลิ่นใบย่านางนั้นหอมแต่บางคนก็ว่าฉุนทั้งนี้และทั้งนั้นก็อาจเป็นเพราะขึ้นอยู่กับรสนิยมของคนกินด้วยว่ากลิ่นที่ว่านี้จะถูกกันหรือไม่ แต่หากว่าแกงกับซุบหน่อไม้ไร้ซึ่งน้ำคั้นจากใบย่านางก็เห็นทีจะไม่เป็นซุบหรือแกงที่รสชาติแซบนัว (แปลว่าอร่อยแบบกลมกล่อม – ภาษาอีสาน) เพราะกลิ่นเปรี้ยวกลิ่นขื่นและรสขมของหน่อไม้ทีดองก่อนนำมาทำอาหาร
         น้ำคั้นสีเขียวคล้ำหรือเกือบดำของใบย่านางคือเครื่องปรุงรสปรุงกลิ่นที่สามารถสยบกลิ่นเปรี้ยวของหน่อไม้ แต่ถึงแม้ใครต่อใครจะชอบอาหารอีสานอย่างซุบหน่อไม้ก็ใช่ว่าจะรู้จักใบย่านาง บางคนไม่ทราบว่าน้ำที่ปนมากับซุบหน่อไม้สีคล้ำ ๆ นั้นละคือน้ำใบย่านาง เพราะใบย่านางไม่ใช่พืชผักที่แพร่หลายมากนัก มักกินกันแต่ตามต่างจังหวัดบางที่บางแห่ง เมืองกรุงนั้นหารับประทานสดนั้นยากอยู่เหมือนกัน จึงควรทำความรู้จักกันไว้ เพราะย่านางคือตัวการที่ทำให้อาหารอร่อยแบบลึกลับเหมือนน้ำคั้นสีคล้ำที่แค่เพียงดูก็ไม่รู้เลยว่าจะทำให้อร่อยได้อย่างไร

การปลูกและดูแลรักษา

           เดิมนั้นเถาย่านางมักขึ้นอยู่เองตามป่า แต่อยากปลุกก็ไม่ยากเพียงแค่เพราะเมล็ดหรือขุดเอารากที่เป็นหัวไปปลูกในที่ใหม่ รดน้ำให้ฉ่ำชุ่ม สักพักเถาย่านางก็จะคลี่กางเลื้อยขึ้นพันค้างที่เตรียมไว้ หรือหากไม่มีค้างก็มักเลื้อยพันต้นไม้อื่นที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งก็ไม่ถือเป็นเรื่องลำบากยากเย็นสำหรับเถาย่านาง เพราะเดิมนั้นเถาย่านางเป็นไม้ป่าจึงไม่กลัวความลำบากลำบน อดทนเป็นเยี่ยมและเติบโตได้ในทุกสภาพดินและสภาพอากาศทุกฤดูกาล หากอยากได้บรรยากาศเมืองร้อนแลป่าฝนก็ปลูกชมใบสีเขียวก็ดี


ประโยชน์ของใบย่านาง

ภาพ:Yanang_6.jpg
         นอกจากจะเป็นอาหารและเครื่องปรุงรส ใบย่านางและน้ำคั้นจากใบยังมีสารอาหารอย่างแคลเซียมและวิตามินซีค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีวิตามินอื่น ๆ ร่วมขบวนด้วย เช่น เอ บี 1 บี 2 และเบต้า-แคโรทีน

         คนโบราณเชื่อกันว่ารากของเถาย่านางนั้นสามารถแก้ไขได้ อีกทั้งยังช่วยถอนพิษผิดสำแดงและพิษอื่น ๆ แก้เมาเรือ แก้เมาสุรา แก้โรคหัวใจและแก้ลม ใบก็ช่วยถอนพิษและแก้ไข้ ส่วนของเถาใช้แก้ตานขโมย

         แถมวิธีใช้เถาย่านางเพื่อลดไข้ ใช้ดังนี้ใช้รากแห้งประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง หรือต้มกับสมุนไพรอีก 4 ชนิด ตามการแนะนำของสถาบันการแพทย์แผนไทย คือรากเท้ายายม่อม รากมะเดื่ออุทุมพร รากคนทา รากชิงขี่ จะให้ผลในการลดไข้ได้ดียิ่งขึ้น

วิธีทำน้ำย่านาง 

  1. ใช้ใบย่านาง 30-50ใบ ต่อน้ำ4ลิตรครึ่ง ผสมใบเตย-10ใบ, 
    หญ้าม้า10ใบ(ใบคล้ายใบอ้อย มีรสหวาน), ใบอ่อมแซบ(เบ็ญจรงค์)ประมาณ1หยิบมือ(10ยอด)
    (หากมีแต่ใบย่านางกับใบเตย อย่างอื่นหาไม่ได้ 2อย่างก็ใช้ได้ครับ)
  2. ขยี้กับน้ำสะอาดหรือปั่นด้วยเครื่องมือหมุน หรือใช้เครื่องไฟฟ้าชนิดเกียว (ถ้าใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า ที่ใช้ใบมีดปั่น ให้ใส่น้ำแข็ง5-7ก้อน
    เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนในขณะปั่น ความร้อนจะทำลายเอ็นไซท์) 
  3. ใส่น้ำเกือบเต็มโถปั่น ปั่นประมาณ30วินาที หรือ45วินาที แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง หรือตะแกงตาถี่ (ที่ร่อนแป้งด้ามพาสติก)      
  4. นำกากที่เหลือมาปั่นซ้ำ ได้อีก7-8ครั้ง หรือจนกว่าจะหมดเขีย;
  5. กรองเอาแต่น้ำสีเขียว ดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน เก็บไว้ในตู้เย็นไว้ดื่มได้4-5วัน
ป.ล.ถ้ารสชาติเปลี่ยนสรรพคุณจะเริ่มเสื่อมแล้ว ถ้าเสียแล้วจะเริ่มมีรสเปรี้ยว  
ถ้าต้องการให้หายเร็ว ดื่มวันละ1.5ลิตรขึ้นไป ผู้ป่วยเบาหวานน้ำตาลจะลดลง เหมือนคนปกติทั่วไป 




ทำไมใบย่านางถึงงช่วยรักษาโรคเบาหวาน?


        คนที่เป็นเบาหวาน ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เหตุที่ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เพราะร่างกาย
เกิดภาวะร้อนเกินไป ระบบการทำงานของร่างกายจึงป้องกันตนเอง ไม่ให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน 
เพื่อไม่ให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาล (หากร่างกายเผาผลาญน้ำตาลร่างกายจะยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก)  น้ำตาลเมื่อไม่ถูกเผาผลาญก็อยู่ในกระแสเลือด แต่ร่างกายนำไปใช้ไม่ได้ เซลล์จึงขาดน้ำตาล มีอาการอ่อนเพลียง่าย 
           จึงต้องแก้ด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น ใบย่านางมีฤทธิ์เย็นมาก เมื่อร่างกายได้เย็นลงแล้ว 

ระบบการทำงานของร่างกายจะสั่งตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน มาเผาผลาญน้ำตาลได้ตามปกติ 
และเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน เซลล์เมื่อได้รับน้ำตาลและใช้น้ำตาลได้
อาการอ่อนเพลียจึงหายไปครับ เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ ด้วยตัวของผู้ที่เป็นเบาหวานเอง


แล้วสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานละ?


        คนปกติที่ไม่เป็นเบาหวานก็ดื่มได้ครับ ช่วยป้องกันโรคที่ไม่มีเชื้อโรค เช่น โรคอ้วน,
ความดัน,เบาหวาน,หัวใจ,มะเร็ง,ตับ,ไต,ภูมแพ้, นอนกรน กรดไหลย้อน ฯลฯ
   จากประสบการณ์อาจารย์อาจารย์ของผมท่านหนึ่ง เป็นโรคเบาหวานมานาน30ปี 

ดื่ม1-2สัปดาห์ และกินอาหารธรรมชาติแบบหมอเขียว น้ำตาลในเลือดวัดแล้ว
ไม่เกินร้อย เวลานี้หยุดกินยาอินซูลินแล้ว หันมาดื่มน้ำใบย่านางเขียวทุกวันครับ 
 อาจารย์ของผมได้ความรู้นี้จาก  หมอเขียว (ใจเพชร กล้าจน) การแพทย์วิถีพุทธ  

  ผู้ที่เป็นมะเร็ง หากดื่มน้ำใบยานางเขียว ก้อนมะเร็งจะฝ่อเล็กลง หรือจากก้อนมะเร็ง

กลายเป็นแค่ถุงน้ำ
    
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดื่มน้ำย่านาง 
ผู้ที่เป็นมะเร็ง, เบาหวาน,โรคอ้วน,ไขมันในเลือดสูง ห้ามกินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน 
เช่น พริกไทย,กะเพรา,ขิง,ข่า,ใบมะกูด ฯลฯ และอาหาร รสจัด เช่นหวานจัด,เผ็ดจัด,
เค็มจัด,มันจัด,อาหารปิ้ง,ย่าง,ทอด,อบด้วยความร้อนสูง เพราะอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน 
จะทำให้โรครุนแรงขึ้น โบราณท่านว่าเป็นของแสลงครับ 
(((พืชผัก, ผลไม้,เนื้อสัตว์ ที่มีสารเคมีตกค้าง มีพิษ ฤทธิ์ร้อนมาก))) 

  
คนที่ดื่มแล้ว ร่างกายเกิดภาวะเย็นเกินไป ควรเติมน้ำร้อนหรือนำไปต้มก่อน แล้วดื่มตอนอุ่นๆครับ



เครดิต:http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=12019.0